27 มี.ค. 2562

5 วิธีเด็ดๆ แก้อาการนอนไม่หลับแบบทันใจไม่พึ่งยา



การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สมองและร่างกายใช้ช่วงเวลาขณะหลับในการบำรุงซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายมีประสิทธิภาพที่ดีในการทำงาน ดังนั้นการนอนหลับที่เพียงพอจึงมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดี  และร้อยละ 10 พบปัญหานอนไม่หลับเรื้อรัง ซึ่งอาจต้องใช้ยาเพื่อช่วยในการนอนหลับ โดยพบเพิ่มขึ้นตามอายุที่สูงขึ้น พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้ที่ทำงานเป็นกะผลัดเวร เกิดปัญหานอนไม่หลับง่ายกว่างานอื่น  การนอนไม่หลับไม่ใช่โรค แต่เป็นปัญหาการนอนไม่เพียงพอทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อหน้าที่การทำงานและความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้
      การนอนไม่พอส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
      ผลกระทบขึ้นอยู่กับปริมาณและจำนวนที่นอนไม่หลับ โดยพบว่า
            - คุณภาพชีวิตลดลง
            - อัตราของการขาดงานเพิ่มขึ้น
            - ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
            - มีการใช้บริการทางการแพทย์สูงขึ้น เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เฉื่อยชา รู้สึกไม่สดชื่นร่าเริง หงุดหงิด ขาดสมาธิ
            - ความสามารถในการดำเนินชีวิตลดลง
            - ประสบอุบัติเหตุได้ง่าย มีรายงานว่าถ้าขับรถยนต์ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจะเพิ่มสูงขึ้น 2.5 เท่า
            - การนอนไม่หลับ ในคนที่เคยป่วยเป็นโรคทางจิตเวช พบว่าโอกาสเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคซ้ำอีก รวมทั้งเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงขึ้นในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าด้วย
      5 วิธีเด็ดๆ แก้อาการนอนไม่หลับแบบทันใจไม่พึ่งยา
1.ปรับตารางเวลาการนอนใหม่ให้เป็นเวลา เพื่อสร้างวินัยให้กับสมอง เมื่อถึงเวลานอนก็จะง่วงทันที และนอนเมื่อง่วงเท่านั้น หากไม่มีอาการง่วงให้ทำกิจกรรมเบาๆ นอกห้องนอน เมื่อง่วงให้รับเข้าห้องนอนทันที
2.ตื่นนอนให้เป็นเวลาถึงแม้จะเป็นวันทำงาน หรือวันหยุด หลีกเลี่ยงการงีบในเวลากลางวัน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็งีบได้ไม่เกิน 1 ครั้ง และ 1 ชั่วโมง และไม่ควรงีบหลังเวลา 15.00 น.
3.ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือ คาเฟอิน อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนนอน รวมถึงไม่สูบบุหรี่ก่อนนอน ไม่ปล่อยให้หิวแต่ไม่ควรทานมื้อหนักก่อนนอน 2 ชั่วโมง
4.ทำห้องนอนให้เงียบสงบและบรรยากาศน่านอน ไร้ แสง สี กลิ่นรบกวน โดยปิดไฟหรือหรี่ไฟให้ห้องแสงสว่างน้อยที่สุด อากาศที่เย็นสบาย

5.กลิ่นหอมของอโรมาจากธรรมชาติ  ช่วยปรับอารมณ์ให้เกิดความสมดุล ทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย อีกทั้งยังช่วยทำให้ง่วงนอนและหลับได้ดีขึ้น 

15 มี.ค. 2562

ผัดกระเจี๊ยบใส่กุ้ง

กระเจี๊ยบเขียว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abelmoschus esculentus (L.) Moench. อยู่ในวงศ์ Malvaceae มีชื่ออื่น ๆ ว่า กระเจี๊ยบขาว มะเขือมอญ มะเขือพม่า มะเขือทวาย มะเขือละโว้ ถั่วส่าย เป็นต้น

ลักษณะของกระเจี๊ยบเขียว
 มีลักษณะเป็นฝักสีเขียวคล้ายกับนิ้วมือมีรูปทรงเรียวยาว ปลายโค้งเล็กน้อย ฝักมีสันเป็นเหลี่ยมตามยาว 5 เหลี่ยม มีขนอ่อน ๆ อยู่ทั่วฝัก และหากนำมาต้มหรือทำอาหารฝักจะมีลักษณะลื่น รับประทานง่าย รสชาติอร่อย มักนำมาต้มรับประทานกับน้ำพริกต่างๆได้ตามใจชอบ

ปราณ ขอนำเสนอเมนู"ผัดกระเจี๊ยบใส่กุ้ง"มาให้ลองทำทานกัน อร่อยแถมได้ประโยชน์อีกด้วย วิธีทำก็แสนง่าย ดังนี้ค่ะ

ส่วนผสม 

กระเจี๊ยบลวกหั่นแฉลบ 100 กรัม
กุ้งสดปอกเปลือกผ่าหลังดึงเส้นดำออก 20 กรัม
กระเทียมไทยสับ   1 ช้อนโต๊ะ
ซอสเห็ดหอม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา   1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะตั้งไฟพอร้อน ใส่กระเทียมผัดให้มีกลิ่นหอม
2. ใส่กุ้ง ปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอม น้ำปลา น้ำตาลทราย ใส่กระเจี๊ยบ ผัดจนส่วนผสมสุก ปิดไฟ ยกลง ตักใส่ภาชนะ จัดเสิร์ฟ

สารเมือกหรือเส้นใยที่ละลายน้ำได้ของกระเจี๊ยบเขียว เมื่อลงสู่ลำไส้ใหญ่ จะช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ (พรีไบโอติกแบคทีเรีย) ที่อาศัยอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย จึงทำให้ขับถ่ายง่าย แก้ท้องผูก กระเจี๊ยบเขียว จึงจัดเป็นผักสุขภาพสำหรับผู้ป่วยมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง


7 มี.ค. 2562

4 วิธีซ่อมผิวหลังโดน แดดเผา


           หากผิวต้องเผชิญกับแดดแรงเป็นเวลานานก็อาจทำให้ผิวไหม้แดดได้ โดยผิวบริเวณที่สัมผัสแสงแดดจะค่อย ๆ เป็นรอยแดง เมื่อต้องอยู่กลางแดดที่ร้อนจ้านานกว่า 15 นาที อาการของผิวไหม้เบื้องต้นจะเริ่มรู้สึกแสบผิวและมีอาการคัน หลังจากนั้นผิวจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและมีอาการแสบผิวอย่างยิ่ง จนกระทั่งถึงระยะที่ผิวเปลี่ยนเป็นสีคล้ำและผิวลอกเป็นขุยๆ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เรามี 4 วิธีง่ายๆที่สามารถซ่อมผิวหลังโดนแดดเผามาฝาก ลองทำกันดูนะคะ

17 ม.ค. 2561

สร้างรอยยิ้มรับปีใหม่ เพิ่มพลังบวกสู่การประสบความสำเร็จตลอดปี

          เพิ่งผ่านพ้นช่วงปีใหม่ได้ไม่นาน หลายคนคงมีเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จ โดยใช้เวลาในช่วงปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นในการทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งความสำเร็จนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากขาดพลังบวกที่จะนำทางไปสู่ความสำเร็จได้ตลอดทั้งปี พลังบวกที่ว่ามากจากไหน ทำได้อย่างไร เรามีคำตอบค่ะ

รอยยิ้มเรียกพลังบวก
เริ่มต้นวันใหม่ในทุกๆเช้า ด้วยการยิ้มให้กับตัวเองในกระจก รอยยิ้มนับได้ว่าเป็นพลังบวก ที่ส่งผลดีทางอารมณ์ ทำให้การหลั่งฮอร์โมนต่างๆ มีความสมดุล ช่วยให้จิตใจแจ่มใสได้ทั้งวัน รอยยิ้มไม่เพียงแต่เรียกพลังบวกให้กับตนเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งพลังบวกให้กับคนรอบข้างอีกด้วย ลองยิ้มดูสิค่ะ


เลือกรับข่าวสารด้านบวก
พยายามเลือกรับเฉพาะเรื่องดี ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง ทุกช่วงเวลาของการดำเนินชีวิตอาจพบเจอกับเรื่องเลวร้ายจากสิ่งแวดล้อม หรือสังคมที่อาศัยอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สารมารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถเลือกรับข่าวสารนั้นได้ เรื่องเลวร้ายที่ทำให้จิตใจขุ่นมัว ไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิดแล้วใส่ใจ เพียงเท่านี้พลังด้านลบก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้



สุขภาพก็สำคัญ
หากร่างกายเจ็บป่วยแล้วคงยากที่จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ควรดูแลร่างกายให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายๆ ด้วยการรับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อร่างกายแข็งแรงแล้วแน่นอนว่าการทำสิ่งที่ตั้งเป้าหมายให้ประสบความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ท่องเที่ยวเติมพลังบ้าง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการชาร์จแบตให้กับชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพคือการท่องเที่ยว หากเหนื่อยล้าหรือท้อแท้กับเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ขอให้อย่าละทิ้ง เพียงแค่คุณต้องหาวิธีผ่อนคลายหรือพักสักครู่เพื่อทำมันต่อไป แนะนำว่าควรออกไปท่องเที่ยว เพื่อหาประสบการณ์พบเจอผู้คนนอกเหนือจากที่เราพบเจออยู่ทุกวันบ้าง ไม่แน่ว่าคุณอาจจะค้นพบแนวทางที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นก็ได้

คิดบวกให้เป็นนิสัย
หากคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนหงุดหงิดง่าย หัวเสียไปกับทุกเรื่อง หรือไม่พอใจกับการกระทำผู้อื่นง่ายจนเกินไป พฤติกรรมเหล่านี้เป็นการเรียกพลังลบได้เป็นอย่างดี ในแต่ละปีลองคิดดูว่าคุณหมดพลังไปกับเรื่องเหล่านี้มากขนาดไหน บางคนปล่อยให้เรื่องนี้รบกวนจิตใจจนทำลายเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ปีใหม่นี้ขอให้ลองปรับตัวเอง คิดบวกให้เป็นนิสัย ก่อนที่จะอารมณ์เสียขอให้คิดไตร่ตรองสักนิดว่าเกิดจากอะไร โดยหาเหตุผลที่ดีมาสนับสนุน แล้วคุณจะค้นพบว่าการคิดบวกนำพาให้ชีวิตประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้มากกว่าที่คุณคิด

4 ก.ค. 2560

คุณค่าจากโคลน ประโยชน์มากล้นจากธรรมชาติ


          เป็นที่รู้กันว่าหนึ่งในสรรพคุณโดดเด่นของโคลนคือช่วยคืนความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ในโรงพยาบาลและศูนย์ธรรมชาติบำบัดต่างๆ ทั่วโลก ได้นำโคลนไปใช้รักษาโรคผิวหนังที่มีความรุนแรง และยังถูกใช้เป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์ความงาม ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมไปจนถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อีกทั้งมีประโยชน์มากมายสารพัด

          โคลนมีคุณสมบัติพิเศษเป็นตัวดูดซับชั้นยอด ที่สามารถดูดสิ่งสกปรกออกจากผิว จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับที่จะใช้ในการ Detox สารพิษจากมลภาวะที่ต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน เพราะโคลนอุดมด้วยแร่ธาตุ ได้แก่ ซิลิกาที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น สังกะสีมีสรรพคุณในการบำบัด และแมกนีเซียมช่วยต้านอาการแพ้ ช่วยรักษาอาการอักเสบของผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ ผดผื่นคัน และรังแค ในโคลนยังความร้อน ซึ่งความร้อนจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และช่วยเปิดรูขุมขน ผิวจึงสามารถดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์

โคลนแบบไหนดี?

           โคลนแต่ละชนิดมีสรรพคุณคล้ายๆ กันคือช่วยดูดสิ่งสกปรกและกระตุ้นกลไกบำบัดตามธรรมชาติของร่างกาย อย่างไรก็ตาม โคลนจากสถานที่ต่างกันย่อมมีคุณสมบัติแตกต่างกัน เล็กน้อย ดินโคลนที่มีสีต่างกันแร่ธาตุและขนาดของอนุภาคต่างกันย่อมอาจมีสรรพคุณเฉพาะ ที่ต่างกันออกไป บางชนิดช่วยบรรเทาอาการอักเสบของผิว ขณะที่บางชนิดช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว

เบนโทไนต์ (Bentonite) เป็นดินโคลนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดชนิดหนึ่ง ได้จากเถ้าถ่านลาวาภูเขาไฟตั้งแต่ครั้งโบราณ ซึ่งอยู่ใต้ท้องทะเล และด้วยมีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูผิว จึงนำมาใช้รักษาบาดแผล รักษาโรคภายในร่างกาย โดยเฉพาะความผิดปกติที่เกิดกับระบบย่อยอาหาร แก้ท้องเสียและท้องผูก นอกจากนี้ยังเป็นตัวล้างพิษที่มีประสิทธิภาพ

โคลนทะเลเดดซี (Dead Sea Clay) อุดมด้วยแร่ธาตุจำพวกแมกนีเซียม เหล็กและทองแดง โรงพยาบาลในอิสราเอลใช้โคลนจากทะเลเดดซีช่วยรักษาโรครูมาตอยด์ โรคผิวหนังต่างๆ และโรคที่เกี่ยวกับความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง (โดยพืชจำพวกเห็ดราทะเลในดินโคลน ดังกล่าวช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน) โคลนทะเลเดดซีพบในผลิตภัณฑ์ความงามหลากหลายชนิด เนื่องจากมีแร่ธาตุสูง

โคลนสีเขียวฝรั่งเศส (French Green Clay) ได้จากทะเลแถวประเทศฝรั่งเศสและอินเดีย ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ผิวและรักษาผดผื่นคัน บางประเทศในทวีปยุโรปใช้ดินโคลนดังกล่าวช่วยล้างพิษภายในร่างกาย และเนื่องจากอุดมด้วยแร่ธาตุมากมาย จึงช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค

โคลนแดง (Red Clay) มีสรรพคุณในการล้างพิษและใช้ภายนอกสำหรับลดการอักเสบของผิว

พาสคาไลต์ (Pascalite) เป็นดินหายาก อุดมด้วยแคลเซียม นอกจากนี้ยังมีซิลิกาที่ช่วยร่างกายสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้เส้นผม เล็บ และผิวมีสุขภาพดี

เกาลิน (Kaolin) เป็นดินสีขาวเนื้อละเอียด หรือที่รู้จักกันว่า ดินขาว ส่วนมากใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์ดูแลผิว เช่นเดียวกับเบนโทไนต์ คือ ได้จากเถ้าถ่านลาวาภูเขาไฟ และมีสรรพคุณช่วยล้างพิษ

คุณประโยชน์ความงามจากโคลน


พอกหน้าด้วยโคลน

- ลดปัญหาหน้ามัน การพอกหน้าด้วยโคลนจะช่วยดูดซับความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี เพียงมาร์คหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หรือรอจนโคลนแห้ง จะสังเกตุได้ว่า น้ำมันจะถูกขับออกมาตามรูขุมขน เมื่อเวลาที่โคลนแห้ง

- ลดปัญหาสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวเสี้ยน สิวอุดตัน สิวอักเสบ เพียงนำโคลนแต้มที่สิว ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วล้างออก โคลนมีแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย จะช่วยดูดซับสิ่งปรกตามรูขุมขน ทำให้สิวยุบตัวลง สิ่งสกปรกหลุดออกไป หมดปัญหาสิวเสี้ยน สิวอุดตัน และสิวอักเสบไปเลย

- ลดปัญหารูขุมขนกว้าง แร่ธาตุที่อยู่ในโคลน สามารถทำให้รูขุมขนกระชับ เมื่อเวลาที่โคลนแห้ง โคลนจะบีบตัวเข้ากับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้ารัด กระชับใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด

- ลดปัญหาผิวแห้งกร้าน ภายในโคลนมีแร่ธาตุ และวิตามินอุดมอยู่มากมาย อีกทั้งมีแร่ธาตุที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้ยืดหยุ่นได้ดี โปแตสเซียมที่จะให้ความชุ่มชื่นซึมลึกแก่เซลล์ผิว ช่วยปรับสภาพผิวไม่ให้แห้งกร้าน ไร้ริ้วรอยก่อนวัย

พอกผิวกายด้วยโคลน

- ลดปัญหาเซลลูไลท์ส่วนเกิน โคลนจะช่วยกระชับ และขับไขมันส่วนเกินออกจากเซลล์ผิว ด้วยการพอกโคลนลดเซลลูไลท์ลงบนผิวบริเวณที่มีปัญหา จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้โคลนแห้งตัว ประมาณ 20 นาที จึงค่อยล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น จะเห็นได้ว่าผิวเนียน กระชับ ผิวเปลือกส้มลดลง กระชับสัดส่วนได้ดี

- ลดสิวที่หลัง โคลนจะมีแร่ธาตุที่ช่วยดูซับสิ่งสกปรกภายในรูขุมขน สามารถดักจับแบคทีเรีย และกำจัดออกไปเมื่อล้างออก ทำให้ปัญหาสิวที่หลังลดลงได้

- กระชับทรวงอก โคลนจะช่วยให้ทรวงอกกระชับตึง ลดการหย่อนคล้อย เนินอกเรียบเนียนน่าสัมผัส ฟื้นฟูความกระชับแน่น และขาวเนียนด้วยการผลัดเซลล์ผิวเก่า

สปาโคลน

บำบัดร่างกาย สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อต่างๆ ตามร่างกาย สัมผัสเย็นสบายขณะทำสปา ลดอาการบวมน้ำ และการกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือดให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น

รักษาโรคผิวหนัง

รักษาโรคกลาก เกลื้อน โคลนมีแร่ธาตุมากมายอย่าง โบรไมด์ซัลเฟต โพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนิเซียม ที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ดูดซับเชื้อโรคในผู้ที่มีโรคผิวหนังอย่าง สะเก็ดเงิน กลาก เกลื้อน โรคเรื้อน และโรคต่างๆที่เกี่ยวกับผิว ให้ค่อยๆกลับมามีสภาพผิวที่ดีขึ้นอีกครั้ง


ที่มา : Kapook.com และ monmud.com

25 มิ.ย. 2560

เลือกกินคาร์โบไฮเดรตอย่างไรหุ่นสวย


          คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายไม่ควรขาด มี 2 ชนิดด้วยกัน คือ คาร์โบไฮเดรตชนิดดีและคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดี ซึ่งรู้จักกันอีกในชื่อคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว บางท่านอาจกำลังสับสนว่าชนิดไหนที่ควรกิน ชนิดไหนควรหลีกเลี่ยง สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักอยู่ตอนนี้ควรต้องเคร่งครัดกับอาหารการกินมากกว่าปกติอีกเท่าตัว แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ควรเลือกกินแบบไหนดี

คาร์โบไฮเดรตชนิดดี (Good Carbs) คืออะไร ?

          คาร์โบไฮเดรตชนิดดีหรือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คือ คาร์โบไฮเดรตหรืออาหารประเภทแป้งที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสี หรือแทบจะไม่ผ่านกรรมวิธีดัดแปลงใดๆ มาเลย ซึ่งแน่นอนว่า คาร์โบไฮเดรตชนิดนี้จะคงคุณค่าสารอาหารไว้อย่างเต็มเปี่ยม ร่างกายจะได้รับคุณประโยชน์จากแป้งชนิดนี้เข้าไปเต็ม ๆ โดยที่แทบไม่กระทบไปถึงระดับน้ำตาลในเลือด สามารถรับคาร์โบไฮเดรตชนิดดีได้จากการเลือกกินข้าวและแป้งไม่ขัดสี, ถั่ว, ธัญพืช, ผักใบเขียว, พืชที่มีฝัก, มัน, โฮลวีท, โฮลเกรน รวมทั้งซีเรียลและพาสต้าโฮลวีท ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์จากนมและโยเกิร์ตไขมันต่ำยังมีชื่ออยู่ในรายการอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตชนิดดีด้วยเพียงแต่มีกระแสขัดแย้งอยู่เยอะพอสมควร ผลิตภัณฑ์จากนมและโยเกิร์ตไขมันต่ำเลยยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างสักเท่าไร

คุณประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรตชนิดดี

ไฟเบอร์สูง
คาร์โบไฮเดรตเซิงซ้อนหรืออาหารในกลุ่มแป้งชนิดดีต้องไม่ผ่านกระบวนการดัดแปลง ขัดสี หรืออย่างน้อยๆ ก็ควรผ่านกระบวนการเหล่านี้มาน้อยที่สุด นั่นก็เท่ากับว่าอาหารประเภทแป้งชั้นดีเหล่านี้ยังคงอุดมไปด้วยไฟเบอร์และคุณประโยชน์เต็มที่ เมื่อทานเข้าไปแล้ว ร่างกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อที่จะได้ดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินได้อย่างครบถ้วนที่สุด ซึ่งนั่นทำให้กระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเกิดขึ้นช้า เท่ากับร่างกายจะมีพลังงานต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ อิ่มอยู่ท้องได้นาน ทำให้ไม่รู้สึกหิวบ่อย อีกทั้งยังให้พลังงานสูงในขณะที่ให้แคลอรี่น้อย แถมยังช่วยขับถ่ายสารพิษในร่างกายผ่านของเสียได้มากขึ้น

ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
ดัชนีน้ำตาล (GI) เป็นตัวบ่งชี้ระดับน้ำตาลของอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตว่าอาหารประเภทแป้งแต่ละอย่างจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดมากน้อยแค่ไหน หากรับประทานคาร์โบไฮเดรตชนิดนั้นๆ ไปภายในระยะเวลา 1-2 ชั่วโมง ซึ่งค่าดัชนีน้ำตาล (GI) ของคาร์โบไฮเดรตชนิดดีเกือบทุกชนิดก็อยู่ในเกณฑ์ต่ำ นั่นก็หมายความว่า คาร์โบไฮเดรตชนิดดีจะส่งผลกระทบไปถึงระดับน้ำตาลในเลือดและระดับอินซูลินได้น้อยจนเกือบไม่เกิดปัญหาสุขภาพใด ๆ เลย

อุดมไปด้วยสารอาหารดีๆ
ในคาร์โบไฮเดรตชนิดดีอัดแน่นไปด้วยวิตามินจากธรรมชาติ เกลือแร่ เอนไซม์ และไฟโตนิวเทรียนท์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังและบำรุงสุขภาพร่างกายให้ฟิตเฟิร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความหนาแน่นของพลังงานต่ำ (Low Energy-Density)
ค่าความหนาแน่นของพลังงานในอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตชนิดดี (ยกเว้นถั่วและธัญพืช) จะค่อนข้างต่ำ ซึ่งก็เท่ากับว่ากินเข้าไปเยอะก็ยังให้พลังงานแคลอรี่กับร่างกายน้อย แต่อิ่มอยู่ท้องมากกว่า

ประสิทธิภาพในการเผาผลาญสูง
คาร์โบไฮเดรตชนิดดีจะช่วยกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิซึมในร่างกายให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นบรรดาไขมันส่วนเกินก็จะถูกเบิร์นออกไปอย่างง่ายดาย

คาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดี (Bad Carbs) คืออะไร?

          คาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดีหรือคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว คือ คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านกระบวนการขัดสี ปรุงแต่ง ดัดแปลง เพื่อให้มีรสชาติที่อร่อยขึ้น รับประทานง่ายขึ้น และคาร์โบไฮเดรตเหล่านี้มักจะถูกแต่งเติมจนร่างกายต้องได้รับสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ อย่างสารกันบูด สีและกลิ่นสังเคราะห์ รวมทั้งน้ำตาลที่ยิ่งกระตุ้นให้คาร์โบไฮเดรตเหล่านี้เปลี่ยนรูปเป็นน้ำตาลได้เร็วขึ้นด้วย ส่งผลกระทบไปถึงระดับน้ำตาลในเลือดของร่างกายให้พุ่งสูง เป็นสาเหตุของโรคอ้วน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่อันตรายต่อสุขภาพ คาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดี เช่น แป้งขัดสีทุกชนิด ข้าวขาว ขนมปังขาว แพนเค้ก ขนมเค้ก พาสต้า(ขัดสี) และขนมทำจากแป้งอย่างวาฟเฟิล ของหวาน น้ำหวาน ลูกอม ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม นม เป็นต้น

โทษของคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดี

เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ง่าย
คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวหรืออธิบายให้เข้าใจง่าย คือเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ไม่ดีนั้น มีข้อด้อยตรงที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ง่าย และเกือบจะทันทีที่กลืนคาร์โบไฮเดรตเหล่านี้ลงสู่กระเพาะ ดังนั้นเวลาที่กินน้ำหวานหรือขนมหวานอร่อยๆ จึงรู้สึกสดชื่นเหมือนกระตุ้นพลังงานในร่างกายขึ้นมาทันที แต่พลังงานจากน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปมาจากคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวแบบนี้มักจะเป็นปริมาณพลังงานที่มากเกินไป ซึ่งพอเหลือกินเหลือใช้ก็จะถูกสะสมอยู่ในร่างกาย อีกสักพักก็แปรสภาพเป็นไขมันสะสมเพื่อเก็บเอาไว้เป็นพลังงานสำรอง และหากไขมันเหล่านี้ไม่ถูกเบิร์นออกก็จะพอกพูนอยู่ตามลำตัวจนกลายเป็นคนอ้วนในที่สุด

อีกทั้งเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจากคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวที่กินเข้าไป ตับอ่อนจะเร่งผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เกิดความสมดุล ทว่าหากเรากินคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดีจนติดเป็นนิสัย ตับอ่อนก็จะส่งอินซูลินออกมาเรื่อยๆ จนอาจจะถึงภาวะอินซูลินมากเกินความต้องการ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดฮวบฮาบจนเกิดอาการวูบเอาได้ ซึ่งนอกจากจะทำให้อ้วนเร็วแล้วก็ยังเป็นการปูทางไปสู่โรคเบาหวานอีกด้วย

แคลอรี่สูง
นอกจากคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดีจะให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์น้อยถึงน้อยมากที่สุดแล้ว ยังอุดมไปด้วยแคลอรี่และความหนาแน่นของพลังงานที่มาก ซึ่งก็เท่ากับว่า เพียงแค่กินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดีเข้าไปในปริมาณเล็กน้อย ก็จะได้รับจำนวนพลังงานแคลอรี่ที่มากเกินความต้องการของร่างกายตอบแทนมาทันที ซึ่งพลังงานแคลอรี่ที่ว่านี้ก็จะผันตัวเป็นน้ำตาลสะสมอยู่ในร่างกาย กลายเป็นชั้นไขมันรอบเอว ไขมันรอบต้นขา ต้นแขน และบั้นท้ายในที่สุด

ก่อโรคร้ายเรื้อรัง
เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดีมีน้ำตาลสูง ไฟเบอร์น้อย และอุดมไปด้วยสารอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงอาจเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังถูกพบว่ามีไขมันทรานส์อยู่จำนวนไม่น้อย ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้อีกทางหนึ่ง

ค่าดัชนีน้ำตาลสูง
อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดีมักจะมีค่าดัชนีน้ำตาลค่อนข้างสูง ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องส่งผลกระทบกับระดับน้ำตาลในเลือดเป็นอย่างมาก โดยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เร่งการผลิตอินซูลิน ซึ่งก็เป็นภาวะที่ไม่ดีต่อคนเป็นที่โรคเบาหวาน หรืออาจทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

ทั้งนี้ค่าดัชนีน้ำตาล หรือ GI (Glycemic Index) ยังเป็นตัวชี้วัดความสามารถอาหารในการเปลี่ยนรูปคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาลที่ร่างกายจะดูดซึมได้เร็วแค่ไหนและมากแค่ไหน โดยค่า GI จะถูกเปรียบเทียบกับระดับกลูโคสในอัตรา 100 ว่ากันง่ายๆ ก็คือ ถ้าค่าดัชนีน้ำตาลในอาหารสูง ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นเร็ว แต่หากค่าดัชนีน้ำตาลในอาหารชนิดนั้นๆ ต่ำ ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งตาม

หลักโภชนาการได้ระบุเกณฑ์ค่าดัชนีน้ำตาลดังต่อไปนี้

* ค่าดัชนีน้ำตาลไม่เกิน 55 จัดอยู่ในระดับต่ำ

* ค่าดัชนีน้ำตาลระหว่าง 56-69 จัดอยู่ในระดับปานกลาง

* ค่าดัชนีน้ำตาลตั้งแต่ 70-100 จัดอยู่ในระดับสูง

ตัวอย่างค่าดัชนีน้ำตาล(GI) ของอาหารบางชนิด
ประเภทอาหาร 
ปริมาณอาหาร

ค่าดัชนีน้ำตาล (GI)
ประเภทอาหาร 
ปริมาณ
อาหาร

ค่าดัชนีน้ำตาล (GI)
ข้าวขาวหุงสุก  150 กรัม  83 น้ำอัดลม (สีดำ)  250 มล.  63
ข้าวกล้องหุงสุก          150 กรัม  48 น้ำอัดลมรสส้ม  250 มล. 68
ขนมปังโฮลวีท 100%   30 กรัม 62 น้ำส้มแท้ไม่เติมน้ำตาล  250 มล.  54
ขนมปังขาว  30 กรัม 71 น้ำแอปเปิลแท้ไม่เติมน้ำตาล  250 มล.  39
ขนมปังโฮลเกรน 100%  30 กรัม  62 นมสดแท้ปราศจากไขมัน  250 มล.  32
พิซซ่าซูเปอร์สุพรีม  100 กรัม  36 นมรสหวาน  250 มล.  34
เค้กกล้วยหอม  60 กรัม  47 นมไขมันต่ำ  250 มล.  30
โดนัท  50 กรัม  75 นมถั่วเหลือง  250 มล.  30
ขนมปังเบอร์เกอร์            95 กรัม 66 นมช็อกโกแลต  250 มล.  35
มักกะโรนี  180 กรัม 47 โยเกิร์ตรสธรรมชาติ  40 กรัม 14
สปาเกตตี้ขัดสี  180 กรัม 46 โยเกิร์ตรสผลไม้  40 กรัม  36
สปาเกตตี้โฮลวีท  180 กรัม  37 เฟรนช์ฟรายส์  150 กรัม  75
เส้นเล็ก  180 กรัม 61 มันฝรั่งแผ่นอบกรอบ  50 กรัม  51
เส้นหมี่ขาว  180 กรัม  58 ถั่วอบกระป๋อง  150 กรัม  40
เส้นใหญ่  190 กรัม  90 เม็ดมะม่วง  50 กรัม  27
วุ้นเส้น  180 กรัม 45 ดาร์กช็อกโกแลตแท้   50กรัม                  27
คอนเฟลกส์  30 กรัม  74 ช็อกโกแลตแท้  50 กรัม  49
ข้าวโอ๊ต (เต็มเม็ด)  250 กรัม  55 ลูกอมรสช็อกโกแลตปราศจากน้ำตาล  50 กรัม   23
ข้าวโอ๊ต (ชนิดโรย)  250 กรัม 83 เค้กช็อกโกแลต  111 กรัม  38
เมล็ดควินัว  150 กรัม  53 ไอศกรีมไขมันต่ำ  50 กรัม  36
     
          จากตารางค่า GI ของอาหารแต่ละประเภทอาจดูอยู่ในเกณฑ์ต่ำถึงปานกลาง แต่ก็ใช่ว่าเราจะสามารถทานอาหารตามใจปากได้ เพราะแม้อาหารบางอย่างจะมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำแต่ก็เพียบพร้อมไปด้วยแคลอรี่สูงมากพอจะทำให้น้ำหนักขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การรับประทานอาหารทุกชนิดซึ่งแม้จะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ก็ควรจำกัดปริมาณให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและหุ่นสวยยั่งยืนนะคะ

ที่มา: health.kapook.com

22 มิ.ย. 2560

อยากหุ่นดีต้องกินคาร์โบไฮเดรต


          ในปัจจุบันเทรนรักสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ผู้คนส่วนใหญ่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น เห็นได้จากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป อีกทั้งบุคลิกภาพที่ดีเป็นสิ่งจำเป็น การรักษารูปร่างให้ดูดี สมส่วน จึงเป็นสิ่งที่หลายคนปราถนา

อยากหุ่นดีเริ่มยังไง?

          หลายๆ คนมีความเชื่อที่ว่าถ้าอยากหุ่นดีควรกินน้อยๆ งดมื้อเย็น ตัดการกินคาร์โบไฮเดรตออกโดยการไม่กินแป้งเลยยิ่งดี ขอบอกเลยว่าคุณคิดผิด เป็นที่ทราบกันดีว่า "คาร์โบไฮเดรต" คืออาหารหลัก 5 หมู่ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน การงดทานไปเลยจะช่วยให้น้ำหนักลดได้จริง แต่หลังจากนั้นจะมีผลเสียมากมายรออยู่ มาลองทำความเข้าใจกับ "คาร์โบไฮเดรต" อย่างถ่องแท้เพื่อลดน้ำหนักกันดีกว่าค่ะ

คาร์โบไฮเดรตไม่ใช่แค่ข้าวกับแป้ง

          ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่มักคิดว่าคาร์โบไฮเดรตคือข้าว แป้ง ขนมปัง น้ำตาล แต่อันที่จริงยังมีอาหารอีกหลายประเภทที่มีแป้งแฝงอยู่ไม่น้อย อย่างเช่น ผัก-ผลไม้ นม กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำหวาน ธัญพืช ซึ่งถ้าใครคิดว่าจะงดแป้งด้วยการไม่ทานข้าว ขนมปัง น้ำตาล ก็อาจไม่สามารถลดความอ้วนได้จากการเผลอทานผัก-ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง รวมทั้งน้ำหวาน

จริงๆ แล้วร่างกายต้องการคาร์โบไฮเดรตแค่ไหน ?

          คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารให้พลังงานที่สำคัญกับร่างกาย ให้ความอบอุ่น และช่วยทำให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวเพื่อทำงานหรือประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้ โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ ในแต่ละวันเราต้องการคาร์โบไฮเดรต 3 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเป็นอย่างน้อย เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ควรทานคาร์โบไฮเดรตให้ได้ 150 กรัมเป็นอย่างน้อย ซึ่งสัดส่วนที่เหมาะสมคือร้อยละ 60-65 ของพลังงานที่ร่างกายต้องการทั้งหมด หรือประมาณ 200-300 กรัมต่อวัน แต่ถ้าใครเป็นคนชอบออกกำลังกาย มีกิจกรรมในแต่ละวันมากมาย ก็ควรทานคาร์โบไฮเดรตให้ได้มากขึ้น
          หากปริมาณคาร์โบไฮเดรตในร่างกายมีมากเกินความต้องการ ร่างกายจะเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตส่วนเกินนี้ให้อยู่ในรูปของไกลโคเจนและเก็บสะสมไว้ในร่างกาย เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินที่ร่างกายต้องการพลังงาน และมีมากจนเหลือใช้ก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะ "พุง"

 ไม่ทานแป้งเลย ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ ?

          อ่านข้อข้างบนแล้วเห็นว่าถ้าทานแป้งมากๆ เดี๋ยวกลายเป็นไขมันสะสมที่พุง เลยคิดว่าการลดน้ำหนักแบบไม่ทานแป้งน่าจะได้ผล แต่จริงๆ แล้วอาจไม่ได้ผลเสมอไป แล้วยังทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบแย่ๆ กลับมาด้วย เพราะอย่าลืมว่าร่างกายเราต้องการคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานในแต่ละวัน ถ้าไม่ทานแป้งหรือทานน้อยเกินไป ร่างกายก็จะไม่มีพลังงานใช้ ในเมื่อหาไกลโคเจนจากคาร์โบไฮเดรตไม่ได้ก็ต้องไปย่อยสลายไกลโคเจนที่เก็บสะสมอยู่ในกล้ามเนื้อมาเติมพลังงานแทน ดังนั้นการลดน้ำหนักเพราะงดแป้ง จริงๆ แล้วน้ำหนักที่ลดลงไปนั้นคือน้ำหนักของกล้ามเนื้อและน้ำในร่างกายที่หายไปกับกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นนั่นเอง
          ทีนี้ เมื่อคนอดอาหาร กลับมาทานอาหารอีกรอบ ร่างกายก็จะรีบเก็บสะสมเอาไว้ เพราะกลัวว่าต่อไปจะไม่มีอาหารเหมือนคราวที่แล้ว แต่คราวนี้เราจะอ้วนง่ายขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากช่วงที่เรางดแป้ง ได้ทำให้ระบบเผาผลาญอาหารทำงานช้าลงไปแล้ว เพราะเห็นว่าไม่มีอาหาร เมื่อเรากลับมาทานอาหารอีกครั้ง ระบบเผาผลาญอาหารก็ยังคงทำงานช้าอยู่เหมือนเดิม น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วจึงเป็นที่มาของการ “โยโย่เอฟเฟกต์”

หักดิบไม่ทานแป้ง อันตรายกว่าที่คิด

นี่คือสารพัดปัญหาสุขภาพที่จะตามมา ถ้าไม่ทานคาร์โบไฮเดรตหรือทานน้อยจนเกินไป
  • เหนื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย เพราะสมองและกล้ามเนื้อต้องการกลูโคสจากคาร์โบไฮเดรตมาช่วยในการทำงาน หากขาดคาร์โบไฮเดรตไปก็จะทำให้ขาดพลังงานด้วย
  • ร่างกายขาดเส้นใยอาหาร มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายตามมา
  • หิวโหยตลอดเวลา
  • ร่างกายไปดึงโปรตีนที่ใช้เสริมสร้างกล้ามเนื้อออกมาใช้เป็นพลังงานให้เราแทน ทำให้เกิดกล้ามเนื้อเหลว ๆ ขึ้นในร่างกาย
  • รู้สึกหลง ๆ ลืม ๆ ความจำแย่ลง สมองไม่สดใส เพราะสมองขาดกลูโคสมากระตุ้นการทำงาน 
  • หงุดหงิด เครียด อารมณ์แปรปรวนง่าย เพราะคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารสำคัญต่อการผลิตเซโรโทนิน สารเคมีที่ช่วยรักษาความสมดุลของอารมณ์ในร่างกาย
  • มีกลิ่นปาก เพราะเมื่อร่างกายเผาผลาญไขมันแทนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า ภาวะคีโตซีส (Ketosis) จะปล่อยสารเคมีที่ชื่อว่า คีโตน (Ketones) ออกมาพร้อมกับลมหายใจ โดยเจ้าสารเคมีชนิดนี้มีกลิ่นที่ไม่ค่อยน่าชื่นชมเท่าไรด้วย

ถ้าไม่ควรงดคาร์โบไฮเดรต แล้วจะเลือกทานแบบไหนดี ?

แน่นอนว่าไม่ควรงดแป้งไปเลย แต่ควร "จำกัด" ปริมาณ และ "เลือก" ประเภทของคาร์โบไฮเดรตที่จะทานเข้าไป โดยคาร์โบไฮเดรตที่ควรทานคือ

          คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrate) เป็นประเภทที่ทานเข้าไปแล้ว ไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว เช่น พืชผัก ข้าวซ้อมมือ ซีเรียล ธัญพืช ข้าวโอ๊ต พืชที่มีฝัก แต่ควรเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbohydrates) เพราะทานแล้วร่างกายดูดซึมไปได้ทันที ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเร็ว ทานแล้วอ้วนง่าย อย่างเช่น น้ำตาลทราย ขนมต่างๆ ขนมเค้ก ขนมปังขัดขาว ข้าวขาว น้ำอัดลม นม ฯลฯ

          เลือกทานแป้งและน้ำตาลที่มีดัชนีไกลซีมิกต่ำ โดยดัชนี GI (Glycemic Index) เป็นตัววัดว่าอาหารพวกแป้งและน้ำตาลว่าจะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร นั่นคือถ้ามีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้น ซึ่งไม่ดี สำหรับอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำ ๆ ก็เช่น ถั่ว ผลไม้ ข้าวซ้อมมือ สปาเกตตี้ ส่วนอาหารที่มีค่าไกลซีมิกสูง ก็อย่างเช่น ขนมปัง วาฟเฟิล แครกเกอร์ มันฝรั่ง พวกนี้ควรเลี่ยงถ้าต้องการลดน้ำหนัก

มีเคล็ดลับดี ๆ ช่วยให้ลดทานแป้ง (ไม่ดี) ได้ไหม ?

ถ้าตั้งใจจะลดน้ำหนักด้วยการลดปริมาณแป้ง โดยเลือกทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ แต่ก็ยังกลัวว่าตัวเองจะเผลอทานแป้งที่ไม่ดีเข้าไป ลองดูวิธีเหล่านี้ค่ะ



- เปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ซึ่งไม่ขัดสี นอกจากจะมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำแล้ว ก็ยังมีใยอาหารดี ๆ และวิตมินมากมาย ที่หาไม่ได้จากข้าวขาวด้วย

- เลือกขนมปังโฮลวีท สำหรับคนที่ชอบทานขนมปัง ขนมเค้ก แซนด์วิช ควรเปลี่ยนแป้งขนมปังขาว ๆ มาเป็นขนมปังโฮลวีทแทน พวกนี้มีไฟเบอร์สูงค่ะ

- ทานของว่างให้น้อยลง พอตกบ่ายแล้วชักหิว เลยหยิบขนม มันฝรั่งทอดมานั่งทาน ให้ห้ามใจตัวเองอย่าหยิบของพวกนั้นทาน แต่ถ้าขาดไม่ได้จริง ๆ ให้ทานนิดเดียว

- ถ้าเป็นคนชอบทานจุบจิบ ต่อไปให้เตรียมผลไม้หรือถั่วติดกระเป๋าไว้ เมื่อหิวก็หยิบของที่เราพกมาออกมาทาน ได้ประโยชน์กว่ากินขนมแน่นอน

- ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำผลไม้ นมปรุงแต่งรส น้ำอัดลม การดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ จะช่วยลดความอยากทานน้ำตาลได้

- ทานธัญพืช ผัก-ผลไม้ ให้มาก ๆ เพื่อเพิ่มกากใยอาหาร

          โดยสรุปก็คือ การทานแป้งไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อ้วน แต่ความอ้วนเกิดจากการทานอาหารที่ให้พลังงานมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการต่างหาก ยิ่งถ้าไม่ออกกำลังกายด้วย พลังงานที่เกินมาก็จะสะสมเป็นไขมัน ดังนั้นถ้าอยากลดความอ้วนให้ถูกวิธี และเห็นผลยั่งยืนแบบไม่ทำร้ายสุขภาพ ควรเลือกทานอาหารให้เหมาะ พร้อมกับออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายดึงพลังงานสะสมที่อยู่ในรูปไขมันออกมาใช้ จากนี้ก็สามารถทานแป้งได้อย่างสบายใจไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป

ที่มา: health.kapook.com

13 มิ.ย. 2560

ความลับของมือและเล็บสวย

มือเป็นอวัยวะที่แสดงสัญญาณแห่งความร่วงโรยของวัยได้เร็วกว่าใบหน้า อีกทั้งยังเป็นสัมผัสแรกของการแสดงความรู้สึก ผิวมือที่เนียนนุ่ม เต่งตึง จึงเป็นตัวบ่งบอกการใส่ใจในสุขภาพของเจ้าของมือ และอีกหนึ่งจุดที่เคียงคู่กับมือและละเลยไม่ได้คือเล็บ เพราะเล็บเป็นตัวบอกสุขภาพได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเราจึงควรดูแลมือและเล็บกันเป็นพิเศษ

การดูแลมือและเล็บที่ดีที่สุดควรใช้พลังธรรมชาติในการดูแล 

มะนาวเพิ่มผิวสดชื่น
ฝานมะนาวเป็นชิ้นผสมน้ำอุ่น แช่มือประมาณ 10-15 นาที กรดอ่อนๆของมะนาวจะช่วยให้มือนุ่ม และกลิ่นมะนาวช่วยให้สดชื่น อีกทั้งกลิ่นที่ติดมือก็ถูกกำจัดออกไปด้วย

น้ำมันมะพร้าวลดผิวหยาบกร้าน
ผสมน้ำมันมะพร้าวกับน้ำตาลกรวดบดละเอียด นวดมือเบาๆ เป็นวงกลม ล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วซับมือด้วยผ้าเนื้อนุ่ม วิธีนี้ช่วยลดความหยาบกร้านและขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แต่ถ้าฝ่ามือหยาบเกินไป สามารถใช้เกลือป่นแทนน้ำตาลได้

กรดผลไม้ช่วยผิวเนียนนุ่ม
ใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น สับปะรด หรือมะละกอ ในการช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม เนื่องจากในผลไม้รสเปรี้ยวจะมีกรดที่ช่วยทำความสะอาดหนังกำพร้าและยังมีสารที่ช่วยทำให้เกิดความนุ่ม คั้นผลไม้เฉพาะน้ำ  1 ช้อนโต๊ะผสมกับไข่แดงครึ่งช้อนชา ที่มีโปรตีนเพื่อเป็นการปรับสภาพผิว คนให้เข้ากัน ทาบนฝ่ามือทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก จะได้มือที่เนียนนุ่มน่าสัมผัส

ผิวขาวใสด้วยน้ำส้มคั้น
ใช้น้ำส้มคั้นและน้ำผึ้งในปริมาณที่เท่ากัน ผสมแล้วนำมาทามือเป็นประจำ วิตมินซีในน้ำส้มคั้นจะช่วยปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส และน้ำผึ้งยังช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น นอกจากบำรุงมือแล้วสูตรนี้สามารถใช้กับในหน้าได้อีกด้วย

นมอุ่นกระตุ้นการไหลเวียน
นมสดอุ่นๆ 1/2 ถ้วยผสมกับโยเกิร์ตและน้ำตาลทรายอย่างละ 2 ช้อนชา นำส่วนผสมดังกล่าวมาผสมกันในภาชนะแล้วนำมือลงไปแช่ประมาณ 7-10 นาที นมสดอุ่นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียน เป็นการช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าของมือที่ถูกใช้งานมาโดยตลอด

โลชั่นเพื่อการบำรุง
อีกหนึ่งวิธีการดูแลมือง่ายๆ เป็นการลดความยุ่งยากในการเตรียมวัตถุดิบในการดูแลและบำรุงมือ เพียงเลือก Hand Cream ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ 100% เพื่อมอบคุณค่าแห่งการบำรุงโดยไม่ต้องกังวลถึงสารเคมี  ในโลชั่นที่ดีควรประกอบด้วยสารสกัดจากมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น อาทิ สารสกัดจากเชียร์บัตเตอร์ ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นลดความแห้งกร้านให้กับผิว เก็บกักน้ำหล่อเลี้ยงใต้ผิวเพื่อความเต่งตึงไม่มีริ้วรอยแห่งวัย แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุที่ทำร้ายให้ผิวแห้ง และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร

30 พ.ค. 2560

เรื่องกล้วยๆ


ด้วยประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อนจึงมีกล้วยนานาพันธุ์ เมื่อกางตำราดูจะพบว่า "กล้วย" มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโพแทสเซียมที่ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิต เพกทิน ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย กรดแอมิโนอย่าง อาร์จินีน และ ฮีสติดีน ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก นอกจากนี้ยังมี วิตมินบี ที่ช่วยคลายเครียด

นานาประโยชน์ของสารพัดกล้วย 

กล้วยน้ำว้า เป็นอาหารของคนทุกวัย กล้วยน้ำว้าบดสามารถใช้เป็นอาหารของเด็กทารก เพราะในกล้วยน้ำว้ามีกรดแอมิโนจำเป็นอย่างอาร์จินีนและฮีสติดีน ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในเด็กเล็ก และเป็นอาหารที่ช่วยเสริมสารอาหารนานาชนิดให้ผู้สูงอายุ ยามที่มีปัญหาการบดเคี้ยว

กล้วยหอม มีโพแทสเซียมซึ่งช่วยลดการเกิดตะคริว ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของโรค หลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารทริปโตแฟนที่ช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารซีโรโทนินออกมาช่วยลดภาวะตึงเครียดและทำให้รู่สึกผ่อนคลาย จึงไม่แปลกเลยที่จะได้เห็นนักกีฬากินกล้วยระหว่างพักครึ่ง



กล้วยไข่ ของโปรดที่ต้องกินคู่กับกระยาสาท เป็นกล้วยที่มีสารเบต้าแคโรทีนมากกว่ากล้วยชนิดอื่น จึงช่วยบำรุงสายตา ชะลอริ้วรอยและความเสื่อมของเซลล์ แต่ใครที่ชอบกินกล้วยไข่ต้องระมัดระวังเรื่องน้ำหนัก เพราะกล้วยไข่มีปริมาณน้ำตาลและคาร์บไฮเดรตมาก

ส่วนกล้วย 2 ชนิดที่นิยมนำมาทำอาหารแปรรูปอย่าง กล้วยหักมุก และ กล้วยเล็บมือนาง ก็อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยในเรื่องของกระดูกแลฟัน และมีวิตมินนานาชนิด

เลือกซื้อกล้วยไม่ยากเย็น

วิธีซื้อกล้วยง่ายๆคือ ดูลูกที่มีสีเหลืองสวย ไม่ดำ แต่หากซื้อกล้วยดิบมา ให้เก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง แต่หากอยากเก็บกล้วยดิบไว้นานๆให้เก็บในตู้เย็น แม้ความเย็นจะทำให้เปลือกดำ แต่เนื้อในยังคงความอร่อยอยู่

กินกล้วยให้อร่อย

กินกล้วยสุก วิธีกินกล้วยที่ง่ายและได้ประโยชน์คือ การกินกล้วยสุก เนื่องจากกล้วยแต่ละชนิดให้พลังงานแตกต่างกัน ปริมาณกล้วยที่แนะนำในแต่ละมื้อจึงแตกต่างกันไปตามชนิดของกล้วย ตัวอย่างเช่น กล้วยน้ำว้า กินได้ครั้งละ 1-2 ผล กล้วยหอมครั้งละ 1 ผล กล้วยไข่ครั้งละ 3 ผล

กล้วยต้ม ต้มกล้วยน้ำว้าทั้งเปลือกจนนิ่ม จากนั้นปอกเปลือกออก ผ่าครึ่ง เพียงเท่านี้ก็ได้กินกล้วยที่มีกลิ่นหอม รสชาติละมุนละไม นุ่มลิ้น

กล้วยดิบเพื่อมื้อสุขภาพ กล้วยดิบสามารถนำมาใส่ในเมนูอาหารคาวได้หลากหลายชนิด อย่างเช่น ใส่กล้วยดิบหั่นในแกงต่างๆ หรือจะลองนำไปผัดกะเพรา ผัดพริกแกง หรือตำกล้วย ก็ช่วยให้ได้รสชาติที่หลากหลายไม่จำเจ



7 พ.ค. 2560

"ดอกทานตะวัน" ดีต่อใจ ดีต่อร่างกาย


    ดอกทานตะวันสีเหลืองบานคู่แสงพระอาทิตย์ ดอกไม้ที่หลายๆคนชื่นชอบและนึกถึงเมื่อร่างกายร้องเรียกหาธรรมชาติในดูแลสุขภาพของจิตใจ ด้วยสีสันสดใสของกลีบดอกที่เรียงรายสามารถบำบัดอารมณ์เมื่อเกิดความอ่อนล้าจากการใช้ชีวิต หรือความเครียดจากการทำงาน เมื่อได้อยู่ท่ามกลางดอกไม้ สูดอากาศที่บริสุทธิ์ถือได้ว่าเป็นการชาร์ตแบตให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง ร่างกายก็จะผลิตสารแห่งความสุข (Endorphin) ออกมาทำให้รู้สึกผ่อนคลายสดชื่น สมองปลอดโปร่ง และช่วยให้ความจำดี เมื่อจิตใจอยู่ในภาวะผ่อนคลาย โรคภัยต่างๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิต ภูมิแพ้ ฯลฯ ก็จะไม่เกิด

              นอกจากนี้ทานตะวันยังถูกนำมาแปรรูปเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีกมาก อย่างเมล็ดทานตะวันที่สามารถใช้กินเล่นได้แบบเพลินๆ แถมมีคุณค่าต่อร่างกาย หรือน้ำมันดอกทานตะวันซึ่งถือเป็นน้ำมันที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกันเพราะช่วยป้องกันโรคได้ดี หรือในส่วนของต้นอ่อนทานตะวันก็เป็นอาหารสุขภาพที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงได้อย่างดียิ่ง

14 สรรพคุณของทานตะวัน ประโยชน์ในการรักษาโรค

1. เป็นแหล่งของน้ำมันคุณภาพดี เมื่อนำมาใช้ปรุงอาหารกินแล้วไม่มีโทษต่อร่างกาย เพราะน้ำมันที่สกัดมาจากดอกทานตะวันเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัวสูงซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจได้เป็นอย่างดี
2. น้ำมันจากดอกทานตะวันหรือเมล็ดทานตะวันยังอุดมด้วยวิตามินที่จำเป็นอยู่ครบ จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหาร เช่น เนยเทียม นมไม่มีไขมัน ฯลฯ และในเครื่องสำอาง เช่น สบู่ ครีมบำรุงผิว ยาสระผมและครีมนวดผม ฯลฯ
3. ดอกทานตะวันเมื่อนำมาทำเป็นน้ำดื่มก็ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ช่วยต้านโรคได้หลายชนิด บำรุงสุขภาพ หายจากอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยได้เร็ว อย่างแก้อาการไข้หวัด บรรเทาอาการไอและวิงเวียนศีรษะจะเป็นลม
4. เมล็ดนำมากินเป็นอาหารว่าง อุดมด้วยคุณประโยชน์ทางสารอาหารสูง มีโปรตีนที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ จึงเหมาะกับผู้กินมังสวิรัติที่ไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ แถมยังมีไขมันสูงกว่าแป้ง มีธาตุเหล็กสูงกว่าไข่แดงหรือตับสัตว์อีกด้วย
5. เมล็ดดอกทานตะวันเป็นแหล่งรวมของวิตามินที่สำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินอีที่มีมากกว่าในถั่วเหลืองและข้าวโพดถึง 3 เท่า ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยรักษาผิวพรรณให้ยังคงความชุ่มชื้น ดูอ่อนเยาว์ เพราะจะต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นศัตรูสำคัญของผิวพรรณ

6. เมล็ดของดอกทานตะวันมีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือด เพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดีขึ้น ทำให้หัวใจแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจวายและการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ลดความดันโลหิตสูง
7. ดอกทานตะวันมีสรรพคุณช่วยชะลอการเกิดโรคต้อกระจก ทำให้สายตาเป็นปกติ มองเห็นได้ชัดเจนไม่เสื่อมเร็ว
8. ต้นอ่อนทานตะวันที่เพาะมาจากเมล็ดนั้นสามารถนำมาใช้ทำเป็นอาหารรวมถึงน้ำดื่มเพื่อสุขภาพได้ ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติกรอบอร่อยและย่อยง่ายแล้ว ยังมีทั้งวิตามินและเกลือแร่หลากหลาย ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงสมอง และป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี
9. ดอกทานตะวันมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ที่ช่วยแก้อาการท้องผูก ทำให้ระบบการขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยขับปัสสาวะ
10. ดอกทานตะวันช่วยให้ระบบสืบพันธุ์เป็นปกติ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้องก่อนที่ประจำเดือนจะมา หรือในระหว่างที่มีประจำเดือนก็ทำให้หายจากอาการปวดท้องได้ แก้อาการตกขาวด้วย

11. ดอกทานตะวันมีสรรพคุณช่วยขับลม แก้อาการปวดท้องแน่นหน้าอก รวมทั้งช่วยบรรเทาอาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และแก้โรคบิดได้
12. รากของดอกทานตะวันมีประโยชน์ในทางการแพทย์ ซึ่งจะใช้เป็นอาหารให้แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานได้ เพราะมีวิตามินบี 1 รวมทั้งแร่ธาตุที่มีสรรพคุณช่วยแก้อาการของโรคนี้ได้ดี
13. ดอกทานตะวันมีฤทธิ์ที่ช่วยถอนพิษไข้ ใช้เป็นยาขับพิษร้อน ทำให้อวัยวะภายในร่างกายมีความชุ่มชื้น
14. ดอกทานตะวันสีเหลืองสวยเด่นมีประโยชน์ใช้ทำเป็นสีย้อมผ้าเพื่อให้เป็นสีเหลือง และนิยมใช้ตกแต่งในงานพิธีต่างๆ หรือใช้เยี่ยมคนป่วยเพราะจะให้ความรู้สึกสดใส

           จากสรรพคุณและประโยชน์ของดอกทานตะวันที่กล่าวมาทั้งหมดเห็นได้ว่า ดอกทานตะวันเป็นพรรณไม้ที่น่าสนใจสำหรับการนำมาใช้เพื่อดูแลรักษาสุขภาพอย่างมาก เป็นประโยชน์ต่อคนเราให้ห่างไกลจากโรค ร่างกายแข็งแรง ส่วนของดอกสีเหลืองสวยก็ให้ความสดใสเมื่อได้เห็น จึงนับเป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่เราไม่ควรพลาดจริงๆ

ที่มา: www.sukkaphap-d.com


26 เม.ย. 2560

เมนูหวานต้านลมร้อน


ขนมหวาน ๆ เย็น ๆ กับหน้าร้อนถือได้ว่าเป็นของคู่กัน นอกจากความหวานและความเย็นที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นและดับร้อนแล้ว ในขนมหวานถ้วยโปรดยังมีประโยชน์แอบแฝงอยู่มากมาย

เมนูนิยมในหน้าร้อน

เฉาก๊วย
ขนมหวานสีดำเข้ม รสชาติหอมนุ่ม หนึบหนับ เพิ่มความหวานของน้ำเชื่อมและน้ำตาลทรายแดง จะยิ่งทำให้รสชาติอร่อย เนื้อเฉาก๊วย ทำมาจากพืชชื่อ เฉาก๊วย  เป็นพืชล้มลุกประเภทคลุมดิน มีลำต้นหรือเถาเป็นแบบกึ่งเลื้อย ต้นเล็ก ลักษณะคล้ายต้นสะระแหน่ แต่ใบใหญ่กว่าและเรียวแหลม  ต้นอ่อนมีสีเขียว ต้นแก่มีสีน้ำตาล สรรพคุณของเฉาก๊วย ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับเสมหะ แก้คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ช่วยลดไข้ แก้ตัวร้อน ร้อนใน ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ลดอาการตับอักเสบ ลดอาการไขข้ออักเสบ และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ทั้งนี้ไม่ควรใส่น้ำเชื่อมและน้ำตาลทรายแดงเยอะจนเกินไป เพราะจะทำให้น้ำหนักขึ้นแบบไม่รู้ตัว

แตงไทยน้ำกระทิ
ความหอมหวานของแตงไทยเมื่อรวมกับน้ำกะทิ จะช่วยชูรสชาติความหวานมัน น่ารับประทาน แตงไทยจัดเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกหนึ่งชนิด ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายหลายชนิด อาทิ วิตามินเอมีส่วนช่วยบำรุงรักษาสายตา วิตามินซีช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า ลดความหยาบกร้านของผิวและรอยด่างดำต่าง ๆ วิตามินอีช่วยในการชะลอวัย และลดการเกิดริ้วรอย อีกทั้งแตงไทยเป็นผลไม้มีฤทธิ์เย็น ช่วยในการดับกระหาย คลายร้อน ขับเหงื่อ ลดอุณหภูมิของร่างกาย จึงถือได้ว่าเป็นของหวานคลายร้อนได้เป็นอย่างดี

สละลอยแก้ว
หลายๆท่านคงชื่นชอบรสชาติเปรี้ยวอมหวานของสละ ยิ่งนำมาแปรรูปเป็นขนมอย่างสละลอยแก้วแล้ว ยิ่งเพิ่มความอร่อยน่ารับประทานยิ่งขึ้น แต่คุณประโยชน์ของสละก็ไม่ได้น้อยหน้าความอร่อย เนื่องจากสละมีสรรพคุณช่วยแก้อาการกระหายน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยในการย่อยอาหาร ลดกรดในกระเพาะ ป้องกันอาการท้องผูก ในต่างประเทศมีการนำใบของต้นสละมาทำเป็นชาผสมกับน้ำผึ้ง เพื่อใช้รักษาและบรรเทาอาการของโรคริดสีดวง แต่ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของปริมาณ เพราะสละเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่สูง โดยสละ มีปริมาณแคลอรี่อยู่ที่ 60 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม ที่แคลอรี่สูงก็เพราะว่าสละนั้นมีน้ำตาลสูง ดังนั้นต้องรับประทานแต่พอเหมาะ ถ้ารับประทานมาก ๆ อาจจะอ้วนได้
ข้าวเหนียวมะม่วง
แม้ข้าวเหนียวมะม่วงจะไม่ใช่ขนมคลายร้อน แต่หากพูดถึงขนมในช่วงหน้าร้อนก็คงหนีไม่พ้นข้าวเนียวมะม่วงเช่นกัน ยิ่งราดน้ำกระทิฉ่ำๆ ด้วยแล้ว ยิ่งกลมกล่อมหอมหวานชื่นใจ กินทีไรก็สดชื่นทุกที ขนมหวานคู่บ้านคู่เมืองตั้งแต่โบราณอย่างข้าวเนียวมะม่วงนั้น มีประโยชน์แอบแฝงหลายอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง กะทิในข้าวเหนียวมูนช่วยทำให้วิตามินเอและอีจากมะม่วงดูดซึมดีขึ้น เนื้อมะม่วงสุกให้ไฟเบอร์สูง ช่วยชะชอให้น้ำตาลจากข้าวเหนียวดูดซึมช้าลง ถือเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ช่วยทำให้สดชื่นในผู้ที่เบื่ออาหารหรือรับประทานอาหารมื้อหลักไม่ค่อยได้

ทับทิมกรอบ
ความกรุบกรอบและสีสันที่สวยงามของทับทิมกรอบ ขนมที่ถือเป็นอัญมณีแห่งขนมไทยที่มีส่วนประกอบสำคัญจากแห้ว หรือในปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สมหวัง เป็นพืชที่ให้พลังงานสูง เพราะมีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ นอกจากคาร์โบไฮเดรตแล้ว ก็มีใยอาหารอยู่มากเช่นกันซึ่งในใยอาหารนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อการขับถ่าย และกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาอาหารและลำไส้ จึงเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้เนื่องจากการตกค้างของอาหารนั่นเอง แห้วยังมีวิตมิน B และ E สูง จึงป้องกันโรคเหน็บชาและปากนกกระจอกได้ อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี น้ำที่อยู่ในแห้ว จะช่วยเป็นยาขับปัสวะได้ดี จึงป้องกันอาการขัดเบา และปัสวะลำบากได้ด้วย